Saturday, January 05, 2008

อินโดนีเซีย


เดือนที่แล้วได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศอินโดนีเซียมา สองเหตุผลหลักๆที่ทำให้อยากไปก็คือ หนึ่ง บูโรพุทโธ (Borobudur) ซึ่งเป็นโบราณสถานทางพุทธศาสนาที่เค้าว่ากันว่า ยิ่งใหญ่ติดหนึ่งในสามในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ของเรา (อีกสองอันคงพอเดาได้ว่าคือ นครวัด นครธม และ พุกาม) ว่ากันว่า สามแห่งนี้ทำให้ ที่อื่นๆกลายเป็น "ของเล่น" ไปเลย

อีกเหตุผลหนึ่งที่อยากไป ซึ่งอาจฟังดูไม่มีเหตุผลเท่าไหร่นักก็คือเพราะอยากมีโอกาสได้ไปประเทศเพื่อนบ้านในแถบนี้ให้ครบ ตอนนี้ ก็เหลืออีกสามประเทศคือ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และ บรูไน ซึ่งไม่รู้จะได้ไปเมื่อไหร่ เพราะทั้งสามประเทศนี้ ยังไม่มีสถานที่เด่นๆที่ดึงดูดใจตัวเองนัก เผลอๆอาจจะได้ไปเที่ยว ติมอร์ตะวันออกก่อนก็เป็นได้

ไปครั้งนี้ มีโอกาสไปถึงสามจุดหลักๆ คือ บาหลี บูโรพุทโธ (ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมือง ยอกยาการ์ต้า) ในเกาะชวาตอนกลาง และ จาการ์ต้าและบันดุง (เกาะชวาแถบตะวันตก)


ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่น่าสนใจ ที่ถ้าไม่ได้ไปคงไม่มีแรงจูงใจให้ค้นคว้าหาเรื่องราวมาอ่านสักเท่าไหร่ ไม่น่าเชื่อว่าประเทศนี้ประกอบด้วยเกาะกว่าสองหมื่นเกาะ ประชากร สองร้อยสี่สิบกว่าล้านคน (เห็นคนอินโดบางคนบอกว่า จะสามร้อยล้านแล้ว) คือมีประชากรเป็นอันดับสี่หรือห้าของโลกทีเดียว (ลองไล่กันดู ว่า หนึ่ง ถึง สาม มีประเทศอะไรบ้าง ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอันดับสามคือประเทศไหน) เฉพาะเกาะชวาเกาะเดียวมีประชากร ร้อยยี่สิบล้านคน (ถ้าจำไม่ผิด เท่าญี่ปุ่นทั้งประเทศทีเดียว)

ผมสังเกตอย่างหนึ่งว่า คนอินโดชอบฟังดนตรีกันมาก เคยดูเมื่อก่อนทางทีวีดาวเทียมมีช่องเอ็มทีวีอินโด มาเที่ยวอินโด ก็มีรายการดนตรีเต็มไปหมด ตอนกลางคืนเห็นมีรายการคล้ายๆประกวดร้องเพลงต้งหลายช่องพร้อมๆกัน ตามสี่แยกในจาการ์ต้า ผมไม่เห็นคนขายพวงมาลัย หรือ เช็ดกระจก แต่เห็นคน เล่นกีตาร์ (อันเล็กๆ) และ เขย่าเครื่องเคาะ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) ร้องเพลง ขอสตางค์ !!! เป็นภาพประทับใจมาก

อีกอย่างหนึ่งคือ คนอินโดฯสูบบุหรี่จัดมาก ขนาดในสนามบิน ผมลงจากเครื่องปุ๊บ เดินเข้าสนามบิน มีคนหยิบบุหรึ่ขึ้นสูบเฉยเลย (สนามบินมีเครื่องปรับอากาศ) เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เพื่อนเล่าว่าบริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ของอเมริกัน(คงเป็นฟิลลิป มอริส) ต้องมาขอซื้อ เพราะคงเห็นศักยภาพของตลาดบุหรี่ประเทศนี้

สำหรับสนามบินจาการ์ต้านั้น ทำให้ผมนึกถึงหมอชิดสองอย่างบอกไม่ถูก

Sunday, November 25, 2007

เวียดนามกำลังจะแซงไทย?

สัปดาห์ที่แล้วผมไปไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้มา

เป็นครั้งที่สามในรอบ เกือบสิบปี

ผมค่อนข้างมีความหลังกับประเทศนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเป็นประเทศแรกที่ผมเคยเดินทางไป ประมาณ 8-9 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมไม่เคยไปต่างประเทศเลย จนจะได้ไปเรียนตปท.(อเมริกา - มีคนออกค่าเรียนและกินอยู่ให้ทั้งหมด) แล้วรู้สึกเป็นปมด้อย ก็เลยขวนขวายไป ตปท.ก่อนที่จะไปเรียนที่อเมริกา ด้วยความเบี้ยน้อยหอยน้อย ก็เลยเลือกไปใกล้ ลงเอยเวียดนามเหมาะเจาะที่สุด

8-9 ปีที่แล้วผมไปเวียดนามตัวคนเดียว แบบ backpacker บินเข้าไปทางเหนือที่ฮานอย แล้วก็นั่งรถเมล์ลงมาจนถึงใต้ เรียกว่า open-tour คือเสียเงินประมาณ 30 เหรียญเดินทางได้ทั้งประเทศ แวะเมืองไหนก็ได้ จำได้ว่าเที่ยวอยู่เกือบสองอาิทิตย์ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แวะเมืองหลักๆ ละสองสามวัน รวมค่าตั๋วทุกอย่างหมดเงินไปไม่ถึงหมื่นห้าพันบาท ถ้าจำไม่ผิด

จำได้ตอนนั้นว่า ที่ไซ่ง่อนเพิ่งมีสัญญาณไฟแดงใช้งานเป็นครั้งแรก มีเฉพาะบางที่ด้วย

คราวนี้ผมไปทำงาน พักโรงแรมห้าดาว กินอาหารภัตตาคาร โรงแรมที่พักเป็นโรงแรมที่ ประธานาธิบดีบุช (ลูก) พักตอนที่มาเยี่ยมเวียดนามเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไม่ใช่เพราะว่าหรูที่สุด แต่เป็นโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์คือ ตอนที่มีสงครามเวียดนาม(เวียดนามเค้าเรียก สงครามอเมริกัน) พวกทหารอเมริกันใช้โรงแรมนี้เป็นศูนย์บัญชาการ

เวียดนามวันนี้มีไฟแดงเต็มเมืองแล้ว แต่รถมอเตอร์ไซค์ยังเต็มเมืองเหมือนเดิม รถยนต์ยังไม่ถือว่าเยอะมากเท่าที่ถามไม่ใช่ว่าคนไม่มีเงินซื้อแต่เพราะ ที่จอดรถหาไม่ได้ ใช้มอเตอร์ไซค์สะดวกกว่า ขับรถยังต้องใช้ฝีมือสุดยอดเหมือนเดิม เพราะไฟแดงก็มีบ้างไม่มีบ้าง บีบแตรกันเป็นเรื่องปรกติ

ผมได้ไปพบกับผู้บริหารบริษัทหลายๆที่ ทราบว่า ตอนนี้ อสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามกำลังบูมมาก คอนโดที่ทำออกขายจองกันยังกับแจกฟรี ค่าเช่าอาคารสำนักงานแพงกว่าที่กรุงเทพซะอีก เพราะ supply น้อยกว่ากรุงเทพเยอะ ตลาดหุ้นก็บูมมาก คนรวยจากหุ้นคงเหมือนสมัยเมืองไทยสิบกว่าปีที่แล้ว (ผมยังไม่เริ่มทำงาน เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบอันนี้เป็นสิ่งที่คนอื่นพูดให้ฟัง)

คนเวียดนามที่เป็นคนนำทางเราชวนคุยกับเราว่า คนไทยทุกคนรัก ใช่ไหม ผมเป็นเด็กที่สุดในกลุ่มก็ได้แต่นั่งฟังผู้ใหญ่ที่ไปบอกว่าใช่ สาธยายความดีความงานให้คนเวียดนามฟังยาวเหยียด แล้ว คนเวียดนามเค้าก็สรุปปิดท้ายว่า ของเขาก็มีเหมือนกัน คือทุกคนรักลุงโฮจิมินห์

ในความเห็นของผม เวียดนามแซงไทยไปแล้ว

Tuesday, November 06, 2007

ทางใบพัด

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมกลับบ้านต่างจังหวัด ครั้งนี้แปลกกว่าปรกติทุกครั้งซึ่งผมมักจะไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากนั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้านซึ่งอยู่ในตัวเมือง อย่างมากก็ขับรถไปส่งแม่ไปเล่นไทเก็กตอนเย็น ซื้อผลไม้ในตลาด หรือว่าแวะไปห้างโลตัส แต่คราวนี้ได้มีโอกาสไปนอกอำเภอเมือง แบบว่าข้างทางมีแต่นาข้าวถนนช่องทางเดียว แต่ที่ผมค่อนข้างแปลกใจก็คือถนนหนทางเป็นคอนกรีตหมดแล้ว (ไม่ใช่ลาดยางด้วยนะ)

บ้านที่ผมแวะไปกำลังจะมีงานทอดกฐินในวันรุ่งขึ้น แม่ผมต้องการจะเอาซองไปช่วยทำบุญ แม่ผมบอกว่าเจ้าของบ้านเพิ่งขายที่ได้สิบห้าล้าน ผมก็ถามว่าขายที่ให้ใคร แม่ผมก็นึกคำไม่ออก ผมก็พยายามถามว่า ขายไปทำโรงงาน หรือ เวนคืน แม่ผมก็บอกว่าไม่ใช่ จนพักใหญ่ๆ ถึงบอกออกมาได้ว่า ขายที่เพราะเอาไปทำ "ใบพัด" ไม่แน่ใจว่ารู้จักกันหรือเปล่าแต่ผมรู้ทันทีว่าแม่ผมหมายถึง ทางเลี่ยงเมือง (Bypass)

ผมไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วเหมือนกัน เพราะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯเกือบยี่สิบปีได้แล้ว (นึกแล้วยังใจหาย) ตอนได้ยินคำนี้ครั้งแรก ผมน่าจะยังอยู่ประมาณชั้นประถม ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นภาษาอะไรกัน ฟังดูมันแปลกๆไม่เหมือนคำภาษาไทย บายก็ไม่มีความหมาย (ยังไม่ฉลาดพอที่จะนึกถึงคำว่าบายศรี)พาสก็ไม่มีความหมาย เห็นเรียกกันแต่ บายพ้าด บายพ้าด ก็งงๆ ผมเข้าใจว่าเด็กต่างจังหวดที่อยู่อำเภอเมืองร่นเดียวกับผม น่าจะเคยได้ยินคำนี้เพราะช่วงยี่สิบปีก่อนนึกย้อนไปแล้ว ผมเข้าใจว่าเป็นช่วงที่มีการขยายทำทางทั่วประเทศอย่างรวดเร็วที่สุด ทางเลี่ยงเมืองย่อมเป็นสิ่งแรกๆของสมัยนั้น เพราะตามตัวเมืองต่างจังหวัดเริ่มมีปัญหารถเยอะ เพราะการขนส่ง มากขึ้น มีแต่รถบรรทุก และเมืองไทยเราอาศัยการขนส่งทางถนนมากๆ และระบบขนส่งอื่นค่อนข้างขาดแคลน (โดยเฉพาะทางรถไฟ วันก่อนได้ข่าวว่าพม่ามีรถไฟรางคู่เกือบพันกิโลเมตรใช้แล้วแต่ของไทยเรายังเป็นรางเดี่ยวอยู่เลย)

ที่บ้านหลังที่ว่าที่จัดงานทอดกฐิน ผมได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับขนมไทยว่านอกจาก ขนมเม็ดขนุนแบบที่เราเคยกินที่เป็นสีทองที่ทำจากไข่แดงแล้ว ยังมีอีกแบบคือ เม็ดขนุนทอด ซึ่งทำจากไข่ขาว วิธีทำก็คล้ายกันคือ ไส้ข้างในเป็นถั่วเขียวกระเทาะเปลือกกวนกับมะพร้าวและน้ำตาลปั้นเป็นก้อน เสร็จแล้วโปะด้วยแป้งข้าวเจ้าแล้วชุบไข่ขาว (คนทำบอกว่าต้องชุบแป้งก่อนเพราะไม่งั้นไข่ขาวจะไม่ติด) แล้วนำไปทอดน้ำมัน

ผมถามคนทำ (ซึ่งช่วยกันทำหลายขั้นตอนนับเป็นกว่าสิบคน โดยเฉพาะงานกวนถั่วเขียวดูจะเป็นงานหนักมากต้องทำสองคนในกระทะใบใหญ่ใบเดียว) ว่าทำไมไม่เคยเห็นเม็ดขนุนทอดขายที่ไหน เค้าก็ใจดีเล่าให้ฟังว่า มันยุ่งยากและเปลือง เพราะต้องทอดน้ำมัน ผมลองกินดูก็อร่อยดี แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่ไม่มีใครทำขายเพราะเหตุผลนี้จริงๆ พร้อมทั้งถามต่อว่า ปรกติไข่ขาวใช้ทำอะไร เค้าก็บอกว่า เอาไปทำสังขยา (กินมาตั้งนานไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าใส่ไข่ขาวด้วย)

ผมถามแม่และเพื่อนแม่ดูก็ไม่มีใครเคยกิน หรือเคยเห็นมาก่อน ก็เลยสงสัยว่าใครเคยกินเม็ดขนุนทอดบ้าง?